วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประวัติที่มาของ Nike Mercurial อันแสนยาวนาน

ที่มีหรือซื้อก็เนื่องด้วยเหตุผลต่างๆกันไปที่จริงแล้วตัวเองนั้นมี Brand ที่ชอบอยู่แล้วนั่นคือ รองเท้าที่มี Logo เป็นปีกแห่งชัยชนะ หรือ Nike นั่นเองเพราะด้วยปรัชญาของ Nike (Just Do it)นี่แหล่ะที่ทำให้ผมติดหูมาตั้งแต่เด็ก มากกว่า Brand ของฝั่ง German อย่าง Adidas และ Puma หรือแม้แต่ Brand ของ England อย่าง Umbro และ RBK(Reebok ปัจจุบัน Rebrand เป็น RBK ใน Segment ของ Sport แถมปัจจุบัน RBK ยังโดน Adidas takeover ไปเสียแล้ว เสียชาติอังกฤษไปซะแล้ว โถ่ๆๆๆ)ก็ยังเทียบไม่ติด
อันที่จริงแล้วไม่เพียงแค่ที่ผมกล่าวมากลับข้ามฝั่งไปยัง Europe ก็ยังไม่ทั้ง Brand ของ Italy อย่าง Lotto และ Diadora
หรือจะฝั่ง Asia อย่าง Asic, Mizuno และ Pan ซึ่งปัจจุบันนี้ Brand ของไทยได้พัฒนาการต่อเนื่องทำให้รูปแบบที่ Pan ทำนำหน้าโรงงานที่ออกแบบและผลิตโดยคนไทยในประเทศไปหลายขุมเลยทีเดียว ทั้งแบบที่ดูทันสมัยมากขึ้นแม้จะได้รับอิทธิพลมาจากฝั่งตะวันตกมากหน่อย แต่ผมกลับมองว่ามันคือสิ่งที่เราต้องเริ่มแบบจริงจังในวงการออกแบบ ณ ที่นี้ผมไม่ได้มองว่ามันคือการ Copy นะครับมองด้านเป็นการพัฒนาไปในทางที่ถูกต้องไม่ใช่เพียงแค่ทำมาให้เหมือนเค้าเพื่อจะได้ขายได้แค่เพียงเท่านั้นเอง เพราะในบริษัทที่มี R&D (Research and Development) team เป็นของตัวเองต้องหาข้อมูลในการทำรองเท้านั้นๆอยู่แล้วไม่ใช่เพียงแค่นำข้อมูลดิบมาแล้วใช้ได้เลย นะครับมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ต้องนำข้อมูลที่ได้มา Analyze และ Synthesis เข้าด้วยกันก่อนถึงจะออกมาเป็น Design ที่เราเห็นๆกันในปัจจุบัน อ๊ากกกกกกกกก ผมนอกเรื่องอีกแล้ว
เข้าเรื่องต่อดีกว่าครับ ต่อจากไหนนะ…..อ่อรับ Brief เรื่องของรองเท้าที่ชอบ วันนี้ผมเลยขอเลือก เจ้าแห่งความเร็วในปัจจุบันซึ่งกำลังจะโดน Adidas เบียดลงจากบันลังก์ เนื่องด้วยเพราะเจ้า Adizero ตัวใหม่ล่าสัดดด เอ้ย ล่าสุดนี้ เบาเพียง 160 G ต่อ1 ข้าง โอ้วแม่เจ้า
เบาหยั่งกะนุ่น สินิทรา บุญยศักดิ์ ป๊าดดดดดด ไม่เกี่ยวครับพี่น้อง เบาเหมือนนุ่นจริงๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ Adidas ทำเจ้า F50 มาแต่ละรุ่นหนักมากกกก จนผมเองไม่คิดที่จะปักใจเชื่อว่ามันอยู่ Segment ของ Speed ตัวผมเองในหัวเลยจัดเจ้า F50 รุ่นก่อนๆหน้านี้ให้อยู่ใน Functional มากกว่าเพะราเหตุผลที่ว่าด้วย เจ้าF50 นั้นเองสามรถเปลี่ยนปุ่มให้เหมาะกับสภาพสนามได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง สนามแข็ง เจ้าF50 เองก็เปลี่ยนปุ่มให้สั้นลงได้ สนามปกติ ก็มีปุ่มให้ แถมสนามเปียก ก็ยังมีปุ่มเหล็กให้อีก แถมยังเปลี่ยน Upper ได้หยั่งกะแต่งตัวตุ๊กตา โอ้วววว มันเจ๋งมากเลยจอร์จ (ผมไม่ได้หมายถึงพี่จอร์จนะครับ แห่ะๆ) แต่ของที่เยอะขนาดนี้น้ำหนักเจ้า F50 ก็หนักพอตัวเลยแม้ในรุ่นหลังๆนั้น จะพยายามลดแล้วลดอีก
ก็ไม่เห็นจะผอมเพรียมได้อย่างเจ้า Vapor ทางAdidasเลยทำใจไม่ได้ เปลี่ยนจาก F50 เป็น Zero ก็ได้ฟระ จะได้ลดน้ำหนักได้สักที แถมรูปทรงก็สง่างามมากขึ้น เพรียวเบาเหมือนไม่ใส่กางเกงในเตะบอลอีกต่างหากป๊าดดดด นอกเรื่องอีกจนได้ครับ เข้าเรื่องอีกทีขอโทดครับพี่ๆ พอดีมือมันพาไป
มาถึงเจ้า Nike Mercurial Vapor นั้นจริงๆแล้ว มีต้นกำเนิดตั้งแต่ปีไหนมีใครรู้บ้างครับ?? ติ๊กต่อกๆๆๆ
มันมีอายุกว่า มันมีอายุกว่า 10 ปีแล้วโอ้ว……ยาวนานขนาดนั้นเลยหรือ??? หลายคนคงสงสัยใคร่อยากรู้ ครับผมมีข้อมูลเล็กๆน้อยๆมาให้ดูกันคงไม่เยอะยุ่มย่ามจนทำให้รำคานใจกันนะครับ ^^
Nike Mercurial he was born in 1998
ครับใช่แล้ว ก่อกำเนิดในปี 1998 แต่ใช้เพียงชื่อว่า Mercurial
สมัยเจ้าโล้นทองคำยังโด่ดัง เย้ย โด่งดังกับอินเตอร์มิลาน สมัยนู้นนน ที่เราเห็นๆกันรองเท้าที่มีก็เห็นมีแต่สีดำล้วน แซมด้วยขาวบ้าง แดงนิดๆหน่อยๆ (เว้น Adidas predator) แต่พอบอลโลกเท่านั้น Nike ก็จับเจ้า Mercurial มาแต่งหน้าทาปากเสียใหม่ เอาให้เข้ากับชุดทีมชาติ Brazil ของเจ้าโล้นทองคำ
อย่างในรูปนี่แห่ะครับ จุดเด่นดังของเจ้า Mercurial ก็ถือกำเนิดมาตั้งแต่ตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นสีสันที่สดใส น้ำหนักที่เบากว่า แถมมีแถบจับบอล ซึ่งเหนียวหนึบ(จริงๆแล้วเป็น Accidentally design นะครับแถบเงาๆบนรองเท้า เกิดจากอุบัติเหตุตอนทดลองทำให้สีครับดันพลาดราดลงไปในหน้าผ้าแต่ปรากฏว่ามันเหนียวจนทำให้รู้สึกว่าเหย มันเจ๋งหว่ะลองเอามาใช้แล้วได้ผลดีมากๆ)
แถมเป็นรองเท้ารุ่นแรกๆที่เป็นรองเท้า Signature shoes ซึ่ง Screen “R9” ไว้ที่ลิ้นรองเท้าอีกด้วย แม้ปีนั้น Brazil จะอกหักแต่จุดเริ่มต้นของ Vapor ได้เกิดขึ้นแล้ว
“2002 Vapor is shouting out loud”
หลังจากนั้นเพียงสี่ปี เจ้า Vapor ก็ถือกำเนิดขึ้นแถมดังเป็นพลุแตก เพราะ Presenter เป็นคนซัดประตูทำให้เป็นแชมป์บอลโลกปี 2002 ที่ญี่ปุ่นและ เกาหลี ชนะทีม Adidas ของ Germany แบบเฉียดฉิวเลยทีเดียว
ที่มา
:http://thailandstreetsoccer.wordpress.com/2010/06/03/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-nike-mercurial-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA/

ประวัติ

ประวัติรองเท้า NIKE 2
ในปี 1948 บิลล์ บาวเวอร์แมนซึ่งเป็นโค้ชให้กับมหาวิทยาลัยโอเรกอน มีผลงานอย่างในการแข่งขัน NCAA outdoor championships ในปี 1962, 1964, 1965 และ 1970 เขายังทำให้ทีมชาติอเมริกาสามารถพิชิตถึง 6 เหรียญทอง ในโอลิมปิค และฟิล ไนต์ได้รู้จักกับบาวเวอร์แมนในขณะที่เขาเป็นนักวิ่งให้กับมหาวิทยาลัยโอเรกอ น ซึ่งทั้งคู่ต่างต้องการรองเท้าคุณภาพเยี่ยมที่มีความเบาและทนทานสำหรับการ แข่งขัน จนในปี 1962 ไนต์ได้ทำการค้นคว้าข้อมูลและพบว่ารองเท้ากีฬาจากประเทศญี่ปุ่นมีคุณภาพดี และมีราคาถูกกว่าสินค้ากีฬาจากประเทศเยอรมนีซึ่ง เป็นผู้นำตลาดในอเมริกาอยู่ขณะนั้น และหลังจากที่ไนต์เรียนจบด้าน MBA จึงได้ออกเดินทางไปทั่วโลก และไปที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเขาได้มีโอกาสพบกับ Onitsuka Tiger Company โรงงานผลิตรองเท้ากีฬาของญี่ปุ่น และชักชวนให้ Tiger ขยายตลาดเข้ามาในอเมริกา
ไนต์ใช้ชื่อสินค้าว่า “Blue Ribbon Sports” หรือ BRS ซึ่งเป็นชื่อเดิมของไนกี้ และได้ก่อตั้งบริษัทร่วมกับบาวเวอร์แมนที่ชื่อ BRS Inc.ขึ้น โดย ไนต์ มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบทางด้านการเงินและการตลาด ส่วนบาวเวอร์แมน ดูแลทางด้านการพัฒนาออกแบบรองเท้ากีฬา
ต่อมาในปี 1970 บาวเวอร์แมนทดลองทำพื้นรองเท้ายางจากเครื่องอบขนมวาฟเฟิล (Waffle) ของภรรยาเขา ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสำหรับรองเท้ากีฬา ที่พื้นรองเท้าเป็นแบบที่เห็นในทุกวันนี้ ถัดมาในปี 1971 บาวเวอร์แมนจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ที่ชื่อว่า Nike Inc. ในปีถัดมา BRS Inc. และ Onitsuka Tiger ได้แยกบริษัทออกจากกันอันเนื่องจากความขัดแย้งกันทางธุรกิจ ในปีนี้เองได้ออกแบรนด์ไนกี้เพื่อเจาะกลุ่มนักกีฬากรีฑาในโอลิมปิค ต่อมาในปี 1981 BRS Inc. และ Nike Inc. ได้รวมบริษัทเข้าด้วยกัน
ในปี 1984 ไมเคิล จอร์แดน นักบาสเกตบอลชื่อ ดังได้มาร่วมงานกับไนกี้ ซึ่งทำให้แบรนด์ประสบความสำเร็จทางด้านการตลาด โดยมีผลิตภัณฑ์ ที่ใช้ชื่อแบรนด์เป็นชื่อ "Jordan" และในปี 1997 สินค้าประเภทเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของ “M.J.” แตกไลน์ออกไปโดยใช้ชื่อ "12-Star products" (ในปีนั้นไมเคิล จอร์แดนได้รับเป็นผู้เล่น All-Star Game ถึง 12 ครั้ง) และไนกี้ยังประสบความสำเร็จกับแคมเปญ โฆษณาชุด “Just Do It” อีกด้วย
ปัจจุบัน Nike Inc. มีพนักงาน 23,000 คนทั่วโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ 2 แห่ง คือที่เมืองโอเรกอน ประเทศอเมริกา และประเทศเนเธอร์แลนด์ กีฬาสำคัญที่ไนกี้ได้ให้การสนับสนุน คือ บาสเกตบอล เบสบอล อเมริกันฟุตบอล และเทนนิส ฯลฯ
nike2
ที่มา:http://www.littlename.ob.tc/name2.html